วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไทดำลำพัน

เนื้อเพลง ไทดำลำพัน
สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน
(เดินกันไป)

จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้าน
เฮาคนไต ย้ายกันไป
ทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....
ไตดำเฮานา

สิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด
(เดินเข้าไป)

เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้า
เฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลา
ปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหล

สิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง
(เดินเข้าไป)

เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบาย
ลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้
บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....

สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน
(เดินกันไป)

จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้าน
เฮาคนไต ย้ายกันไป
ทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....
ไตดำเฮานา

สิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด
(เดินเข้าไป)

เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้า
เฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลา
ปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหล

สิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง
(เดินเข้าไป)

เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบาย
ลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้
บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....

สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน
(เดินกันไป)

จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้าน
เฮาคนไต ย้ายกันไป
ทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....
ไตดำเฮานา

สิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด
(เดินเข้าไป)

เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้า
เฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลา
ปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหล

สิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง
(เดินเข้าไป)

เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบาย
ลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้
บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....

แล้วไงล่ะ

เนื้อเพลง แล้วไงล่ะ-วิน ขวัญ
(ญ) ถามเหอะถามจริงๆ
เธอเป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย
ทำไมขี้อายขนาดนี้

(ช) แล้วมันเป็นยังไง
ผิดตรงไหนหรือว่าไม่ดี

(ญ) ดีแต่มันเกินไปสักหน่อย

(ช) ว่าก็ว่านะเธอ ถ้าไม่รู้อย่าพูดดีกว่า
นี่แหละเขาเรียกแมนเกินร้อย

(ญ) โอ๊ย ขอบคุณที่บอก
แต่ยังไงก็ดูสำออย

(ช) โถ น้อยๆ หน่อยแม่คุณ

(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ช) ทำไมอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น
(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน

(ช) ถ้าอยากรู้จริงๆ
กล้ามาคบกับฉันรึเปล่า
จะทำให้รู้เลยเอาไหม

(ญ) ไม่ใช่เรื่องสักหน่อย
ไม่อยากรู้มันสักเท่าไร

(ช) โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าแน่

(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ช) ทำไมอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น
(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน

(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ช) ทำไมอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น
(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน

(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ช) ทำไมอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น
(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) เอาไงอ่ะ
(ญ) เอาไงอ่ะ
(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน

ความฝันโบยบิน

เนื้อเพลง ความฝัน โบยบิน-ร้องหมู่
(อู๋) บนทางเดินที่ฉันมุ่งไปยาวไกลลิบตา
(ม็อก) บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยดอกไม้บาน
(ร็อกกี้) มันเป็นทางที่ฉันเลือกไปเพื่อไขว่คว้าดาว
(แบ๋ว) มันคือทางที่ฉันมั่นใจว่ามาถูกทาง

(เวียร์) ไม่ว่าดาวที่เราตามหา จะอยู่สุดฟ้าก็ไม่ท้อใจ
(แพนเค้ก) เพียงเรา ยังพร้อมใจเดินก้าวไปด้วยกัน

(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง
ก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไป
แม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตาม
เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจ
เราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

(วิน) ทางจะไกล จะยากจะเย็นเพียงใด ไม่กลัว
(ขวัญ) ทางจะมี แต่หนามคมคอยทิ่มตำ ไม่เกรง
(เบิ้ม) ทางจะชัน แต่ฉันก็พร้อมป่ายปีนขึ้นไป
(เบนซ์) เราจะไป ให้ถึงปลายทางด้วยใจที่มี

(เวียร์) ไม่ว่าดาวที่เราตามหา จะอยู่สุดฟ้าก็ไม่ท้อใจ
(แพนเค้ก) เพียงเรา ยังพร้อมใจเดินก้าวไปด้วยกัน

(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง
ก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไป
แม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตาม
เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจ
เราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง
ก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไป
แม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตาม
เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจ
เราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง
ก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไป
แม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตาม
เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจ
เราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

เพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจ
เราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทดสอบบทความครั้งที่ 1 ที่นี่
ทดสอบงานครั้งที่ 1 ที่นี่
ทดสอบการส่งงานครั้งที่ 1 ที่นี่

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ค่าของคน

ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมียายแก่คนหนึ่ง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ยายแก่ทำมาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่าง กระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนั้นไว้ จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลย



ครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทำงานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่ คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่ก็ทำเฉยเสีย ช่วยลูกหลานทำงานสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากิน




จนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทำสวนอยู่คนเดียว แดดก็จัด แกรู้สึกปวดหลังเป็นกำลัง ถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกันอุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลายพากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่าง

ในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนั้นทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่การงานต้องทำจะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแกเมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้

เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ "ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ" ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามี



เงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน "ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว"


ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับ ใช้ยายแก่อีก

ต่างคนก็ชิงกันเอาใจ ยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห

ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ ถึง อายุขัย หลานๆก็จัดงานศพเสียงดงาม





เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่า ใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยากจะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงายลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว

แบ่งปัน

ที่มา : ดอนบอสโก นิตยสารครอบครัวซาเลเซียน ปีที่ 51 กันยายน 2552


ที่สนามบินนานาชาติระดับโลกแห่งหนึ่ง มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1เล่ม และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลางๆ เธอมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง



เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลางๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอ มีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใครว่าจะมีใครนั่งอยู่บ้าง สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้ และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่ม ซึ่งเป็นขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอก็เริ่มโมโห พลางก็คิดในใจว่า “ถ้าฉันไม่ใช่ผู้มีการศึกษาแล้วละก็ ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี่ให้แหลกไปเลย”

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากจะรู้ว่า ชายหนุ่มจะทำอย่างไรอีก ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายมาหักออกเป็น 2 ส่วน แล้วส่งให้เธอครึ่งหนึ่ง และกินเองอีกครั้งหนึ่ง เธอรับคุกกี้จากหนุ่มมา พลางก็คิดอยู่ในใจว่า “เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ทำมาแบ่งให้แม้ไม่ใช่ของตัวเอง โอ...ไฉนไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ”







เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาท ซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

หลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่แล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า เธอก็พบว่ายังมีขนมคุกกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า... คุ๊กกี้ห่อนั้น เป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอรีบลุกขึ้นทันที วิ่งออกจากเครื่อง ตรงไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม ทว่าเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสาย ไปเสียแล้วที่จะกล่าวขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับขึ้นเครื่องเธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอเองต่างหากที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง มีสักกี่ครั้งในชีวิตเรา ที่มาค้นพบในภายหลังว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น



ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีสักกี่ครั้งในชีวิตที่เราไว้วางใจผู้อื่น จนทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากมาย”

สิ่งนี้ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนที่จะตัดสินผู้อื่นหลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่มองเห็น เราควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วถามตัวเองบ่อยๆว่า ฉันมองโลกในแง่ดีพอหรือยัง? ฉันเคยแบ่งปันอะไร – ให้ใคร – บ้างไหม? ...

ปีศาจคือใคร

ปีศาจ บางครั้งยังเรียกว่า ซาตาน คำว่า ปีศาจ หมายถึง “คนโกหก” หรือ “ศัตรู” ซาตานเคยเป็นทูตสวรรค์ แต่ท่านต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า ดังนั้น ท่านจึงต่อสู้กับพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงไล่มันออกจากสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมา ซาตานจึงทำงานในโลก พยายามที่จะมีชัยชนะต่อพระเจ้า และต่อประชากรของพระองค์ มันเป็นศัตรูของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเข้มแข็งกว่าซาตาน ในที่สุด พระเจ้าจึงทรงส่งซาตานลงไปในนรกและทนทุกข์ตลอดไป

ข้อความสำคัญ
ผู้ที่ทำบาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจนั้นทำบาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงปรากฏ เพื่อทรงทำลายงานของปีศาจ
(1 ยอห์น 3:8)

พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ปฐมกาล 3:1-15;
1 พงศาวดาร 21:1;
โยบ 1:6-13; 2:1-7;
เศคาริยาห์ 3:1-2;
มัทธิว 4:1-11;
ยอห์น 14:30;
2 โครินธ์ 11:14;
เอเฟซัส 6:11;
ฮีบรู 2:14


คำถามที่เกี่ยวข้อง
+ ทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างปีศาจ
+ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงฆ่าซาตาน
+ พระเจ้าทรงให้อภัยซาตานหรือไม่

ไดโนเสาร์

ปัจจุบันนี้ไดโนเสาร์เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในโทรทัศน์ และในภาพยนตร์ มีของเล่นมากมายที่ทำเป็นไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า สัตว์ที่แปลกชนิดนี้มีชีวิ ตและกลายเป็นสัตว์ที่สูญพันธ์ไปนานแล้ว ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่จะแปลกใจว่าในพระคัมภีร์ได้มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์หลายท่านเชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหลายปีก่อนน้ำท่วมโลกที่เราได้อ่านในหนังสือปฐ มกาล ดังนั้น จึงไม่มีไดโนเสาร์อยู่ในเรือของโนอาห์ อีกเหตุผลหนึ่งคือ เราไม่เคยอ่านพบไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนบอกเราทุกสิ่งทุกอย่าง เ พราะพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือคู่มือทางวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์บอกเราถึงเรื่องของมนุษย์และแผนการของพระเจ้าต่อชีวิตของเรา




ข้อความสำคัญ
พระเจ้าตรัสว่า
ดูสัตว์ใหญ่ เยเฮโมท โลดถลา เราสร้างมารวมเจ้าจงอย่าสงสัย
มันกินหญ้าเหมือนวัวย้ำตามหทัย อนามัยแข็งเหลือกล้ามเนื้อเกร็ง
หางมันชี้คล้ายที่ต้นสีดาร์ กล้ามเนื้อขาแกร่งกล้าทีท่าเก่ง
กระดูกคล้ายทองสัมฤทธิ์พิศเพ่งเล็งขาแข็งเกร็งเหมือนเหล็กท่อนไม่อ่อนแอ
สัตว์ประหลาดที่ทึ่งตะลึงดู มีพระผู้สร้างเองไซร้ปราบได้แน่
(โยบ 40:15-19)

พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ปฐมกาล 7:1-24; ยอห์น 1:3

คำถามที่เกี่ยวข้อง
+ ทำไมในปัจจุบันจึงไม่มีไดโนเสาร์
+ ทำไมจึงไม่มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์
+ สมัยของอาดัมและเอวามีไดโนเสาร์หรือ

สำหรับพ่อแม่/คุณครู
พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงไดโนเสาร์ แต่มีกล่าวไว้ว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง (ยอห์น 1:3) มีบางคำ เช่นคำ ว่า “เยเฮโมท” กล่าวถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เท่าไดโนเสาร์

การสวดสายประคำ

การสวดสายประคำ


โดย...บาทหลวงวีระ อาภรณ์รัตน์


ในหนังสือ Enchiridon of Indulgences ซึ่งกล่าวถึงกฎเกณฑ์การรับพระการุณย์ (ข้อ 48) มีกล่าวถึงการสวดสายประคำว่า

หากผู้ใดสวดสายประคำในวัด สวดพร้อมกันในครอบครัว ในหมู่คณะ นักพรต ห รือสมาคมส่งเสริมศรัทธา จะได้รับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ ส่วนการสวดในสภาพแวดล้อมอื่น จะได้รับพระคุณการุณย์ไม่ครบบริบูรณ์

ปัจจุบัน การสวดสายประคำเป็นการภาวนาชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยการภาวนาบทวันทามารีอา 15 ทศ โดยสวดบทข้าแต่พระบิดา ก่อนแต่ละทศและรำพึงอย่างศรัทธาในแต่ละทศถึงธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูคริสตเจ้า


สายประคำเป็นบทภาวนาที่พ่อชอบมากที่สุด

เป็นบทภาวนาน่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ในความเรียบง่ายและลึกซึ้ง บทสวดนี้เราซ้ำคำพูดที่พระนางมารีย์ได้ยินจากอัครเทวดา และจากญาติ คือนางเอลีซาเบธ พระศาสนจักรร่วมอยู่ในบทสวดนี้ พื้นฐานของคำว่า วันทามารีอา ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า

เวลาเดียวกัน ดวงใจของเราสามารถร่วมกันในธรรมล้ำลึกของสายประคำ เพราะเป็นชีวิตของเราแต่ละคน แต่ละครอบครัว ชาติ พระศาสนจักร และมนุษยชาติ เป็นเหตุการณ์ส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเรามากที่สุด และที่เราสนใจมากที่สุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ สวดสายประคำจึงสะท้อนถึงวิถีชีวิตมนุษย์ เป็นบทภาวนาง่ายๆ และมีความหมาย พ่อขอให้ลูกทุกคนสวดสายประคำ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ความหวัง

ความหวัง – ความปรารถนาสุดท้าย


เมื่อได้รับการรักษาคนไข้ผู้นี้มานานพอสมควรแล้ว ที่สุดคุณหมอก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงแก่คนไข้ของเขา
“หมอจำเป็นต้องบอกความจริงอะไรบางอย่างแก่เธอ อาการป่วยของเธอนั้นหนักจริงๆ หมดคิดว่าคงอยากจะรู้ความจริง...ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึงแล้วนะ และตอนนี้เธออยากจะพบใครเป็นครั้งสุดท้ายบ้างไหมละ”
คุณหมอก้มหน้าลงเข้าไปใกล้คนไข้ เพื่อฟังคำตอบของเขา
“อยากครับผม”
“เธอต้องการพบใคร” คุณหมอถาม
คนไข้ตอบว่า....
คำถาม
1.คนไข้ตอบคุณหมอว่าอย่างไร
2.เรื่องนี้มีบทสอนอะไร
คำตอบ
1.ด้วยเสียงที่แผ่วเบา คนไข้ตอบคุณหมอว่า “ผมต้องการพบคุณหมอคนใหม่”
2.ความตายเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่มีใครยอมแพ้ความตาย ต่างคนต่างอยากที่จะมีชีวิตอยู่ ผลการวิจัยต่างออกมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเราพยายามที่จะเอาชนะโรคร้ายทุกชนิด คุณหมอหลายคนได้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายด้วยการรักษาทางจิตบำบัด สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่เป็นพลังที่สำคัญที่ทำให้คนไข้มีชีวิตอยู่ต่อไป คือ กำลังใจ และความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นเอง

ความ้เมตตา

ความเมตตา – เสรีภาพที่แท้จริง


ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 19 ยังมีชาวไร่คนหนึ่งที่เกิดความรู้สึกสงสารเด็กหญิงคนหนึ่งที่ถูกนำมาขายเป็นทาสในตลาดค้าทาส เด็กหญิงคนนี้เอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนเธอคงไม่มีความสุขเลยที่ต้องถูกกระทำเช่นนี้ ด้วยความสงสารอย่างจับใจ ชาวไร่ผู้นี้จึงได้ขอซื้อเธอด้วยราคาที่สูงมากแล้วเขาก็หายตัวไปจากฝูงชนที่นั้น
เมื่อนายค้าทาสได้รับเงินค่าตัวแล้วจึงได้มาหาเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ปล่อยตัวทาสที่ถูกซื้อไปนั้น เด็กหญิงคนนี้ต้องแปลกใจอย่างมากทีเดียวเพราะชาวไร่ผู้มีใจเมตตาได้เขียนแต่เพียงว่า “ ให้เป็นอิสระ ” โดยไม่ต้องการตัวเธอไปทำงานเลย เธอยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่ทาสคนอื่นๆที่มีผู้ซื้อตัวไป กลับถูกฉุดกระชากลากถูไปตามพื้นเพื่อไปรับใช้เจ้าของรายใหม่นั้นๆ ระหว่างภาพอันน่าหดหู่ใจนั้น เด็กหญิงผู้นี้ก้มลงไปยังแทบเท้าของเจ้าหน้าที่และร้องเรียนว่า “ท่าเจ้าขา ใครคือผู้ที่ซื้อหนู หนูต้องการพบเขา เขาให้อิสรภาพแก่หนู” แล้วเธอก็กล่าวต่อไปว่า...
คำถาม
1. เธอกล่าวอะไรต่อไปอีก
2. เรื่องนี้ให้บทสอนอะไร
ตอบ
1. “หนูจะต้องรับใช้เขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
2. ความเมตตาที่ชาวไร่ได้ให้แก่เด็กหญิงผู้นี้ทำให้เธอปรารถนาที่จะเป็นทาสของเขาไปจนตลอดชีวิต ความรักช่วยขจัดสันดานดิบมากกว่าการบังคับและขู่เข็ญใดๆ

ความหมาย โฮซานนา อาแมน อัลเลลูยา

เป็นคำทับศัพท์ภาษากรีกที่พบในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ได้แก่ มัทธิว 21:9 มาระโก 11:9 และ ยอห์น 12:13 ในเหตุการณ์ เดียวกัน คือ เมื่อพระเยซูทรงลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย แล้วประชาชนที่ร่วมขบวนเข้าสู่เทศกาลปัสกาก็โห่ร้องด้วยความยินดีว่า “โฮซานนา แด่โอรสของกษัตริย์ดาวิด ขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซานนา ณ สวรรค์สูงสุด” ซึ่งเป็นข้อความที่หยิบยกมาจากเพลงสดุดี 118:25 ดังนั้นคำกรีก “โฮซานนา” จึงมีที่มาจากคำฮีบรูในเพลงสดุดีว่า “โฮซีอาห์ นาห์” ซึ่งแปลว่า“ขอทรงช่วย. ..ให้รอดเถิด” แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่มีความตั้งใจที่จะไม่แปลความหมาย แต่ใช้การทับศัพท์แทน คำ “โฮซานนา” นี้ยังเกี่ยว โยงกับความหวังของชาวยิวในพระเมสสิยาห์อีกด้วย คือเกี่ยวโยงกับพระองค์ผู้จะเสด็จมาในพระนามของพระยาห์เวห์ ดังนั้นเมื่อประชาชน โห่ร้องต้อนรับพระเยซูเวลานั้น พวกเขากำลังต้อนรับพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ ดังจะสังเกตได้จากการที่พวกเขาร้องเรียกพระองค์ว่า “บุตรของดาวิด” ซึ่งเป็นวลี หมายถึง พระเมสสิยาห์ผู้จะเสด็จมาจากเชื้อสาย ของกษัตริย์ดาวิด
ในที่นี้เราจะพบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคำนี้ คือ ความหมายดั้งเดิมนั้นเป็นคำอธิษฐานทูลขอการช่วยกู้ แต่ต่อมาในสมัยพระ เยซู คำนี้กลับเป็นคำโห่ร้องแสดงความยินดีต้อนรับ ดังนั้นคำว่า“โฮซาันนา” ที่ใช้ในปัจจุบัน หมายถึง “สรรเสริญ (พระเจ้า)”






คำนี้ไม่ใช่คำอุทานที่แสดงออกถึงความรู้สึกชื่นชมยินดีและไร้ความหมาย แต่เป็นคำที่มีความหมายซึ่งมาจากคำฮีบรูสองคำ คือ คำกริยา “ฮาเลลู” แปลว่า (ท่านทั้งหลาย) จงสรรเสริญ และคำนาม “ยาห์” ซึ่งเป็นพระนามย่อจากพระนามเต็มของพระเจ้าว่าพระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้น คำ “อัลเลลูยา” จึงแปลว่า “จงสรรเสริญพระยาห์เวห์”
คำ “อัลเลลูยา” ปรากฏในเพลงสดุดี 24 ครั้ง ได้แก่ 104:35; 105:45; 106:1,48; 111:1; 112:1; 113:1, 9; 115:18; 116:19; 117:2; 135:1, 3, 21; 146:1, 10; 147:1, 20; 148:1, 14; 149:1, 9; 150:1, 6 และเมื่อสังเกตตำแหน่งที่ตั้งของคำ “อัลเลลูยา” เรา พบว่าคำนี้ปรากฏต้นบทบ้าง ในบทบ้าง และท้ายบทบ้าง ดูตัวอย่าง เพลงสดุดี 135:1, 3, 21






คำนี้ได้ยินกันบ่อยในเวลาจบคำอธิษฐาน โดยมีความหมายว่า “ขอให้เป็นดังนั้นเถิด” คำว่า “อาเมน”เป็นคำทับศัพท์ภาษาฮีบรูและภาษากรีกมีความหมายว่า “จริงแท้ แน่นอน เชื่อถือได้” นี่คือคำที่ผู้ฟังเปล่งออกมาเพื่อตอบสนองสิ่งที่พวกเขาได้ยินโดยต้องการยืนยันว่า เขาเห็นด้วยและพร้อมที่จะแบกรับผลที่เกิดขึ้นจากการยอมรับนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นจะเป็นคำสาบาน (เนหะมีย์ 5:11-13) คำอวยพร (เยเรมีย์ 11:5) คำสาปแช่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:15-26) คำอธิษฐาน (มัทธิว 6:13) หรือ คำสรรเสริญพระเจ้า (1พงศาวดาร 16:36, เนหะมีย์ 8:6, สดุดี 89:52)
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวที่ตกทอดมาถึงคริสตชนก็คือเมื่อผู้อ่านพระคัมภีร์หรือผู้เทศนาอธิษฐานต่อพระเจ้า คนอื่น ๆในที่ประชุมจะร้องตอบสนองว่า อาเมน เพื่อให้คำอธิษฐานนั้นเป็นของพวกเขาเอง (ดู 1โครินธ์ 14:16 )


สุดท้าย ขอสรุปว่า ทั้งสามคำข้างต้นมิใช่คำอุทานที่เปล่งออกมาตามอารมณ์อย่างไร้ค่า แต่เป็นคำที่มีความหมายและออกมาจากความตั้งใจ ดังนั้นในการนมัสการพระเจ้า เราจึงนมัสการพระองค์อย่างมีความหมาย เราไม่เพียงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงจากปาก แต่สรร เสริญพระองค์ด้วยความคิดและด้วยจิตใจ ( ดู1 โครินธ์ 14:15 )

แม่ลูกผูกพันธ์

นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ราย 2 เดือน ฉบับที่ 166 ปีที่ 29 กรกฏาคม – สิงหาคม 2009/2552


เศรษฐีคนหนึ่ง อยู่กรุงเทพฯ เป็นนักสะสมซากสัตว์ เขาสัตว์ งาช้าง หนังเสือ เต็มบ้านหมด ทุกเสาร์ อาทิตย์ ก็ออกไปล่าสัตว์ ภรรยามีลูกอ่อน อายุประมาณ 3 เดือน วันหนึ่งขณะออกล่าสัตว์เห็นลูกลิงตัวหนึ่ง สวย น่ารัก แปลกมาก อยากได้มาเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ก็ปรึกษากับพรานป่าคนนำทางว่าทำอย่างไรจึงจะได้ลูกลิงมาเลี้ยง



พรานป่าบอกว่า โดยสัญชาตญาณลิงจะรักลูกมาก รักสุดชีวิต ตราบใดที่แม่ลิงยังไม่ตาย ไม่มีใครสามารถเอาลูกมันออกจากอกได้ มันสู้สุดชีวิตสุดท้าย เศรษฐีตัดสินใจยิงแม่ลิงตาย แล้ว เอาลูกลิงสีขาวมาเลี้ยงที่กรุงเทพฯ เมื่อยิงแม่ลิงตาย ก็เอาเนื้อไปแกงให้ลูกน้องถลกหนังเก็บหนังไว้ประดับบ้าน

พอกลับถึงกรุงเทพฯ ก็เอาลูกลิงเลี้ยงไว้ในบ้าน หยอกล้อวิ่งเล่นกับลูกลิง เป็นที่สนุกสนาน ส่วนหนังลิงตัวแม่ มันยังสดอยู่ มีกลิ่นเหม็น ก็เอาไปตากแดดที่ลานจอดรถหน้าบ้าน

เช้าวันหนึ่ง ขณะภรรยาเศรษฐีกำลังให้นมลูกกินในห้องรับแขกหน้าบ้าน ภรรยาร้องโฮดังลั่นบ้าน เศรษฐีตกใจ วิ่งลงมาจากชั้นบน โผเข้าไปกอดภรรยาและลูกไว้ ใบหน้าตกใจสุดขีด พยายามถามภรรยาว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาไม่ยอมตอบ เอาแต่ส่ายหน้า แล้วก็ร้องไห้ หันไปมองหน้าลูก กำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข นั่งปลอบภรรยาอยู่สักครู่ พอเริ่มตั้งสติได้ก็ถามภรรยาว่า เกิดอะไรขึ้น ตกใจเรื่องอะไร ร้องไห้เรื่องอะไร ภรรยาไม่ยอมพูด แต่ชี้มือไปที่ลาดจอดหน้าบ้าน เศรษฐีมองตามไป เห็นภาพถึงกับผงะ ตกใจ น้ำตาไหล ไม่รู้ว่าลูกลิงที่เอามาเลี้ยงไว้หลุดออกไปนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ มันออกไปดูดนมแม่ที่เป็นหนังแห้ง ตากไว้ที่โรงรถ ดูดเสร็จ มันก็ก้มลงกอดแม่ น้ำตาไหล เศรษฐีและภรรยาทนดูไม่ได้ ร้องไห้ แล้วคุยกันว่า







“ถ้ามีคนทำกับครอบครัวเราอย่างนี้บ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร จะเศร้าโศก เสียใจทุกข์ทรมานใจขนาดไหน”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เศรษฐีสั่งให้เอาซากสัตว์ที่สะสมทั้งหมดไปเผา เอาลูกลิงไปปล่อยในป่า เลิกล่าสัตว์หันมาเข้าวัด ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แม่ลิง และขออโหสิกรรม ทุกครั้งที่ทำบุญจะขอพรทุกครั้งว่า ... ขออย่าให้มีใครมาทำกับครอบครัวเรา เหมือนที่เราได้ทำกับครอบครัวลิงตัวนั้นเลย
ถ้ารักลูกของเรา จงอย่าทำร้ายลูกคนอื่น

ถ้าอยากให้ครอบครัวของเรามีความสุข อย่าทำร้ายครอบครัวคนอื่น

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

นาฬิกาที่หายไป

ที่มา : หนังสืออุดมศานต์รายเดือน ประจำเดือนมิถุนายน ปี 2552
มีชาวนาคนหนึ่ง เขามีนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งที่ตกทอดเป็นมรดกมาถึงเขา เขาสวมนาฬิกาเรือนนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาอาบน้ำกับเวลานอน
วันหนึ่งเขาไปทำความสะอาดคอกม้า พอเสร็จแล้วเขาก็พบว่านาฬิกาข้อมือได้หล่นหายไป เขากลับไปหา แห่หาเท่าไรก็ไม่เจอ
ระหว่างนั้นเอง มีเด็กกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา และเห็นชาวนาพยายามหาของอยู่ก็เลยถามว่า “หาอะไรอยู่ครับ” ชาวนาก็บอก เด็กๆว่าทำนาฬิกาหายไป ถ้าเด็กๆหาเจอ จะให้เงินตอบแทน เด็กๆก็เลยแข่งขันกันค้นหานาฬิกา ต่างก็วิ่งไปวิ่งมารื้อข้าวของ ส่งเสียงกันเจี๊ยวจ้าว เวลานานต่อไปพอดู เด็กๆต่างคนต่างก็เลิกหา เพราะหาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที
ชาวนาก็ถอดใจเหมือนกันและคิดว่าคงหายและหาไม่เจอ แล้ว แต่ก็มีเด็กคนหนึ่งเขาบอกกับชาวนาว่า ขอเวลาหาอีกหน่อยนะครับ “ขอผมอยู่คนเดียวสักพัก ลองดูว่าจะหาเจอไหม?”
เด็กคนนั้นก็เริ่มหาต่อไป สักพักชาวนาก็บอกกับเด็กคนนั้นว่าจะกลับไปรอที่บ้านแต่ช่วงขณะนั้นเองเด็กคนนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับนาฬิกาข้อมือเรือนที่คิดว่าหายไปนั้น
ชาวนาประหลาด ใจมาก เพราะเขาหาตั้งนาน พวก เด็กคนอื่นก็หาตั้งนาน ทำไม ไม่ม ีใครหาเจอ ชาวนาจึงถามเคล็ดลับ ของเด็กคนนั้นว่าหาเจอได้อย่างไร เด็กคนนั้นบอกว่า
“ผมเข้าไปในคอกม้า แล้วก็เลือกมุมๆหนึ่งแล้วนั่งลงเฉยๆ และตั้งใจฟัง สักพักหนึ่งก็ค่อยๆ เริ่มได้ยินเสียงนาฬิกาเดิน แล้วผมก็เดินตามเสียงนั้นไป จึงพบนาฬิกาเรือนนี้ล่ะครับ”
ชาวนายิ้ม ขอบใจ และให้รางวัลเด็กคนนั้น

คุณค่าของมิสซา


จงระลึกไว้เถิดว่า เมื่อท่านจวนจะสิ้นใจนั้นมิสซาทั้งหมดที่ท่านได้ร่วมอย่างศรัทธา จะปลอบใจท่านอย่างอเนกอนันต์
เมื่อท่านร่วมถวายมิสซาด้วยใจศรัทธา ท่านก็ถวายเกียรติสูงสุดแด่มนุษยภาพของพระเยซูเจ้า
ท่านอาจถวายให้วิญญาณในไฟชำระพ้นโทษได้ เพราะมิสซามีค่าสูงสุด
ท่านจะได้รับพร แม้สำหรับธุรกิจการงานในโลกนี้
พระองค์จะไม่สนพระทัยในความเลินเล่อมากมายของท่าน
พระองค์ทรงยกบาปท่าน แม้ที่ท่านไม่เคยสารภาพ แต่มีความทุกข์จริงใจแล้ว
แต่ละมิสซา เป็นการวอนขออภัยให้ท่าน จากพระยุติธรรมของพระเจ้า
แต่ละมิสซา ช่วยลดโทษบาปของท่าน มากหรือน้อยสุดแล้วแต่ความศรัทธาของท่านในการร่วมมิสซา
แต่ละมิสซา ช่วยผลักไสปีศาจออกห่างจากท่าน
แต่ละมิสซา ป้องกันท่านให้พ้นอันตรายนานา ที่อาจมาถึงตัวท่านโดยไม่รู้ตัว
แต่ละมิสซา ลดเวลาในไฟชำระให้สั้นลง
แต่ละมิสซา เพิ่มเกียรติมงคลที่ท่านจะรับในสวรรค์
แต่ละมิสซา ได้รับพรจากพระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้รับรอง
มิสซาเดียวที่ท่านได้ร่วมขณะยังมีชีวิตอยู่ จะช่วยท่านให้รอด มากกว่าอีกหลายมิสซา ที่คนอื่นจะถวายให้เมื่อท่านตายไปแล้ว
* “คริสตชนเอ๋ย จงรู้ไว้เถิดว่า ร่วมมิสซาหนึ่งครั้ง ท่านได้บุญกุศลมากกว่าแจกทรัพย์สมบัติแก่คนจน หรือจาริกแสวงบุญไปทั่วทุกแห่งในโลก” (นักบุญเบอร์นาร์ด)
* “พระเจ้าทรงโปรดทุกสิ่งให้เรา ตามที่วอนขอในมิสซา และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังประทานให้แม้สิ่งที่เราไม่คิดจะวอนขอ แต่จำเป็นแก่เราอีกด้วย” (นักบุญเยโรม)
* “ถ้าเราเข้าใจซึ้งถึงคุณค่าของมิสซาแล้วไซร้ เราคงจะร่วมถวายด้วยใจร้อนรนมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก (นักบุญยอห์นมารีเวียนเนย์)
* นักบุญเทเรซา ถามพระเจ้าว่า “จะแสดงความขอบคุณพระองค์ได้อย่างไร” พระองค์ทรงตอบว่า “จงร่วมบูชามิสซา”

คุณค่าของมิสซา

ที่มา : นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 167 ปีที่ 29 กันยายน – ตุลาคม 2009/2552
จงระลึกไว้เถิดว่า เมื่อท่านจวนจะสิ้นใจนั้นมิสซาทั้งหมดที่ท่านได้ร่วมอย่างศรัทธา จะปลอบใจท่านอย่างอเนกอนันต์
เมื่อท่านร่วมถวายมิสซาด้วยใจศรัทธา ท่านก็ถวายเกียรติสูงสุดแด่มนุษยภาพของพระเยซูเจ้า
ท่านอาจถวายให้วิญญาณในไฟชำระพ้นโทษได้ เพราะมิสซามีค่าสูงสุด
ท่านจะได้รับพร แม้สำหรับธุรกิจการงานในโลกนี้
พระองค์จะไม่สนพระทัยในความเลินเล่อมากมายของท่าน
พระองค์ทรงยกบาปท่าน แม้ที่ท่านไม่เคยสารภาพ แต่มีความทุกข์จริงใจแล้ว
แต่ละมิสซา เป็นการวอนขออภัยให้ท่าน จากพระยุติธรรมของพระเจ้า
แต่ละมิสซา ช่วยลดโทษบาปของท่าน มากหรือน้อยสุดแล้วแต่ความศรัทธาของท่านในการร่วมมิสซา
แต่ละมิสซา ช่วยผลักไสปีศาจออกห่างจากท่าน
แต่ละมิสซา ป้องกันท่านให้พ้นอันตรายนานา ที่อาจมาถึงตัวท่านโดยไม่รู้ตัว
แต่ละมิสซา ลดเวลาในไฟชำระให้สั้นลง
แต่ละมิสซา เพิ่มเกียรติมงคลที่ท่านจะรับในสวรรค์
แต่ละมิสซา ได้รับพรจากพระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้รับรอง
มิสซาเดียวที่ท่านได้ร่วมขณะยังมีชีวิตอยู่ จะช่วยท่านให้รอด มากกว่าอีกหลายมิสซา ที่คนอื่นจะถวายให้เมื่อท่านตายไปแล้ว
* “คริสตชนเอ๋ย จงรู้ไว้เถิดว่า ร่วมมิสซาหนึ่งครั้ง ท่านได้บุญกุศลมากกว่าแจกทรัพย์สมบัติแก่คนจน หรือจาริกแสวงบุญไปทั่วทุกแห่งในโลก” (นักบุญเบอร์นาร์ด)
* “พระเจ้าทรงโปรดทุกสิ่งให้เรา ตามที่วอนขอในมิสซา และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังประทานให้แม้สิ่งที่เราไม่คิดจะวอนขอ แต่จำเป็นแก่เราอีกด้วย” (นักบุญเยโรม)
* “ถ้าเราเข้าใจซึ้งถึงคุณค่าของมิสซาแล้วไซร้ เราคงจะร่วมถวายด้วยใจร้อนรนมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก (นักบุญยอห์นมารีเวียนเนย์)
* นักบุญเทเรซา ถามพระเจ้าว่า “จะแสดงความขอบคุณพระองค์ได้อย่างไร” พระองค์ทรงตอบว่า “จงร่วมบูชามิสซา”

คุณค่าของมิสซา

ที่มา : นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 167 ปีที่ 29 กันยายน – ตุลาคม 2009/2552
จงระลึกไว้เถิดว่า เมื่อท่านจวนจะสิ้นใจนั้นมิสซาทั้งหมดที่ท่านได้ร่วมอย่างศรัทธา จะปลอบใจท่านอย่างอเนกอนันต์
เมื่อท่านร่วมถวายมิสซาด้วยใจศรัทธา ท่านก็ถวายเกียรติสูงสุดแด่มนุษยภาพของพระเยซูเจ้า
ท่านอาจถวายให้วิญญาณในไฟชำระพ้นโทษได้ เพราะมิสซามีค่าสูงสุด
ท่านจะได้รับพร แม้สำหรับธุรกิจการงานในโลกนี้
พระองค์จะไม่สนพระทัยในความเลินเล่อมากมายของท่าน
พระองค์ทรงยกบาปท่าน แม้ที่ท่านไม่เคยสารภาพ แต่มีความทุกข์จริงใจแล้ว
แต่ละมิสซา เป็นการวอนขออภัยให้ท่าน จากพระยุติธรรมของพระเจ้า
แต่ละมิสซา ช่วยลดโทษบาปของท่าน มากหรือน้อยสุดแล้วแต่ความศรัทธาของท่านในการร่วมมิสซา
แต่ละมิสซา ช่วยผลักไสปีศาจออกห่างจากท่าน
แต่ละมิสซา ป้องกันท่านให้พ้นอันตรายนานา ที่อาจมาถึงตัวท่านโดยไม่รู้ตัว
แต่ละมิสซา ลดเวลาในไฟชำระให้สั้นลง
แต่ละมิสซา เพิ่มเกียรติมงคลที่ท่านจะรับในสวรรค์
แต่ละมิสซา ได้รับพรจากพระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้รับรอง
มิสซาเดียวที่ท่านได้ร่วมขณะยังมีชีวิตอยู่ จะช่วยท่านให้รอด มากกว่าอีกหลายมิสซา ที่คนอื่นจะถวายให้เมื่อท่านตายไปแล้ว
* “คริสตชนเอ๋ย จงรู้ไว้เถิดว่า ร่วมมิสซาหนึ่งครั้ง ท่านได้บุญกุศลมากกว่าแจกทรัพย์สมบัติแก่คนจน หรือจาริกแสวงบุญไปทั่วทุกแห่งในโลก” (นักบุญเบอร์นาร์ด)
* “พระเจ้าทรงโปรดทุกสิ่งให้เรา ตามที่วอนขอในมิสซา และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังประทานให้แม้สิ่งที่เราไม่คิดจะวอนขอ แต่จำเป็นแก่เราอีกด้วย” (นักบุญเยโรม)
* “ถ้าเราเข้าใจซึ้งถึงคุณค่าของมิสซาแล้วไซร้ เราคงจะร่วมถวายด้วยใจร้อนรนมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก (นักบุญยอห์นมารีเวียนเนย์)
* นักบุญเทเรซา ถามพระเจ้าว่า “จะแสดงความขอบคุณพระองค์ได้อย่างไร” พระองค์ทรงตอบว่า “จงร่วมบูชามิสซา”

แนะนำตัว

ชื่อนางสาวดรุณี ลาสนธิ
เลขที่ 23 ชั้นม.4/3
เกิด 26/ 2/1994
ผู้ให้คำแนะนำ คุณครูวีระชน ไพสาทย์

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

อันความรักของแม่แน่วแน่นัก
เฝ้าฟูมฟักลูกรักจนเติบใหญ่
เมื่อวันใดที่ลูกรักเติบโตไป
ลูกจักได้เป็นคนดีของสังคม

ยามที่ลูกประสบกับความทุกข์...หันไปที่ใดไม่มีคนเข้าใจแต่ก็ยังมีไอแห่งความอบอุ่น...จากบุคคลคนหนึ่งเสมอมาบุคคลท่านนั้นก็คือแม่.....แม่ผู้เข้าใจในตัวลูกทำให้ลูกคนนี้มีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไป....ในโลก

เมื่อรู้ว่าตัวเธอนั้นตั้งท้อง......เฝ้าประคองด้วยใจที่มุ่งหวังสิ่งที่ชอบเผ็ดร้อนเธอระวัง......เพื่อปกกันลูกน้อยจะกระเทือน...แม้ไม่รู้ว่าจะชายหรือหญิง.....เธอประวิงเฝ้านับครบวันเคลื่อนแม้จะเจ็บจะกลัวตัดทั้งปวง.....เธอปลื้มทรวง.....เสียงแว้..แรกเริ่มดัง

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การทำงานของคอมพิวเตอร์

การทำงานของคอมพิวเตอร์
1.ส่วนประกอบที่ติดตั้งอยู่ภายใน PC มีอะไรบ้าง แล้วแต่ละอย่างทำหน้าที่อะไร
ตอบ 1.Central process unit (CPU) เป็นศูนย์กลางของการทำงาน PC ตัว CPU นั้นถือว่าเป็น microprocessor
2.Memory เป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูล
3.Mainboard ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆที่จะติดตั้งอยู๋ใน PC
4.Power supply เป็นหม้อแปลงไฟฟ้าของระบบ
5.Hard disk เป็นคลังเก็บข้อมูล
6.Operation system หรือระบบปฏิบัติการ เป็นส่วนของซอฟต์แวร์ ถ้าไม่มีตัวนี้จะไม่สามารถเปิดเครื่อง PC และบูธขึ้นมาเพื่อทำงานได้เลย
7.Chipset เป็นตัวควบคุมการทำงานทั้งระบบ
8.ระบบบัสและ Port ตัวเชื่อม
9.Sound card เป็นตัวควบคุมในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเสียง
10.Graphic card เป็นของแสดงผล
2.คอมพิวเตอร์ทำงานกี่ส่วน แต่ละส่วนทำหน้าที่อะไรบ้าง
ตอบ คอมพิวเตอร์แบ่งการทำงานเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1.รับข้อมูลเข้า (Input Device ) ใช้สำหรับในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ เช่น เมาส์ โมเด็ม เป็นต้น
2.ประมวลผล (Processing Device ) ทำหน้าที่ประมวลผลคือ CPU ซึ่งทำหน้าที่คล้ายๆกับสมองเก็บข้อมูล (Storage Device ) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและเป็นเครื่องช่วยในการบันทึกข้อมูล เช่น zip disk เป็นต้น
3.เก็บข้อมูล (Storage Device ) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและเป็นเครื่องช่วยในการบันทึกข้อมูล เช่น zip disk เป็นต้น
4.แสดงผลลัพธ์ (Output Device ) ทำหน้ามี่แสดงผลลัพธ์ออกมา เช่น จอภาพ ลำโพง เป็นต้น
3.Port คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ตอบ คือ ช่องสำหรับต่อเชื่อม ซึ่งถูกออกแบบมา สำหรับ เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ จะประกอบไปด้วย• Parallel Port - ถือเป็น Port รุ่นเก่า ที่ให้ความเร็ว ในการต่อเชื่อม• Serial Port - เป็น Port รุ่นเก่า เช่นเดียวกับ Parallel Port นิยมใช้ต่อเชื่อมกับโมเด็มรุ่นเก่าๆ• USB Port - ถือเป็น Port ที่มีความอเนกประสงค์มากที่สุด เพราะมีอุปกรณ์รองรับกับ USB มากมาย• Firewire (IEEE 1394) - ถือเป็น Port ความเร็วสูงที่สุด• Internet และ Network - อุปกรณ์ เพื่อทำการต่อเชื่อมเข้ากับเครือข่าย
4.Hardwareมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ 1.Monito หรือจอภาพ จะอาศัยการทำงาน ของ Graphic Card หรือ VGA Card ซึ่งจะทำการประมวลผล ภาพการแสดงผลต่างๆ แล้วส่งต่อมายัง จอภาพผ่านทาง VGA Port
2.Keyboard เป็นอุปกรณ์ Input ข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด หรือแป้นพิมพ์
3.Mouse ชี้ตำแหน่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อการสั่งงานและเข้าถึงโปรแกรมต่างๆ
4.สื่อบันทึกข้อมูล เป็นอุปกรณ์ ที่สามารถ เคลื่อนย้ายได้ เพื่อให้คุณ สามารถ Save และพกพา ไฟล์ข้อมูล ไปตามที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ
5.Ports ช่องสำหรับต่อเชื่อม สำหรับ เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ เครื่องพิมพ์, สแกนเนอร์, โมเด็ม หรือ ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอก