วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ค่าของคน

ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมียายแก่คนหนึ่ง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ยายแก่ทำมาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่าง กระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนั้นไว้ จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลย



ครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทำงานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่ คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่ก็ทำเฉยเสีย ช่วยลูกหลานทำงานสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากิน




จนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทำสวนอยู่คนเดียว แดดก็จัด แกรู้สึกปวดหลังเป็นกำลัง ถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกันอุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลายพากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่าง

ในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนั้นทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่การงานต้องทำจะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแกเมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้

เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ "ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ" ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามี



เงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน "ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว"


ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับ ใช้ยายแก่อีก

ต่างคนก็ชิงกันเอาใจ ยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห

ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ ถึง อายุขัย หลานๆก็จัดงานศพเสียงดงาม





เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่า ใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยากจะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงายลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว

แบ่งปัน

ที่มา : ดอนบอสโก นิตยสารครอบครัวซาเลเซียน ปีที่ 51 กันยายน 2552


ที่สนามบินนานาชาติระดับโลกแห่งหนึ่ง มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1เล่ม และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลางๆ เธอมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง



เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลางๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอ มีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใครว่าจะมีใครนั่งอยู่บ้าง สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้ และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่ม ซึ่งเป็นขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอก็เริ่มโมโห พลางก็คิดในใจว่า “ถ้าฉันไม่ใช่ผู้มีการศึกษาแล้วละก็ ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี่ให้แหลกไปเลย”

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากจะรู้ว่า ชายหนุ่มจะทำอย่างไรอีก ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายมาหักออกเป็น 2 ส่วน แล้วส่งให้เธอครึ่งหนึ่ง และกินเองอีกครั้งหนึ่ง เธอรับคุกกี้จากหนุ่มมา พลางก็คิดอยู่ในใจว่า “เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ทำมาแบ่งให้แม้ไม่ใช่ของตัวเอง โอ...ไฉนไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ”







เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาท ซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

หลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่แล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า เธอก็พบว่ายังมีขนมคุกกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า... คุ๊กกี้ห่อนั้น เป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอรีบลุกขึ้นทันที วิ่งออกจากเครื่อง ตรงไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม ทว่าเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสาย ไปเสียแล้วที่จะกล่าวขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับขึ้นเครื่องเธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอเองต่างหากที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง มีสักกี่ครั้งในชีวิตเรา ที่มาค้นพบในภายหลังว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น



ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีสักกี่ครั้งในชีวิตที่เราไว้วางใจผู้อื่น จนทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากมาย”

สิ่งนี้ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนที่จะตัดสินผู้อื่นหลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่มองเห็น เราควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วถามตัวเองบ่อยๆว่า ฉันมองโลกในแง่ดีพอหรือยัง? ฉันเคยแบ่งปันอะไร – ให้ใคร – บ้างไหม? ...

ปีศาจคือใคร

ปีศาจ บางครั้งยังเรียกว่า ซาตาน คำว่า ปีศาจ หมายถึง “คนโกหก” หรือ “ศัตรู” ซาตานเคยเป็นทูตสวรรค์ แต่ท่านต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า ดังนั้น ท่านจึงต่อสู้กับพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงไล่มันออกจากสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมา ซาตานจึงทำงานในโลก พยายามที่จะมีชัยชนะต่อพระเจ้า และต่อประชากรของพระองค์ มันเป็นศัตรูของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเข้มแข็งกว่าซาตาน ในที่สุด พระเจ้าจึงทรงส่งซาตานลงไปในนรกและทนทุกข์ตลอดไป

ข้อความสำคัญ
ผู้ที่ทำบาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจนั้นทำบาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงปรากฏ เพื่อทรงทำลายงานของปีศาจ
(1 ยอห์น 3:8)

พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ปฐมกาล 3:1-15;
1 พงศาวดาร 21:1;
โยบ 1:6-13; 2:1-7;
เศคาริยาห์ 3:1-2;
มัทธิว 4:1-11;
ยอห์น 14:30;
2 โครินธ์ 11:14;
เอเฟซัส 6:11;
ฮีบรู 2:14


คำถามที่เกี่ยวข้อง
+ ทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างปีศาจ
+ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงฆ่าซาตาน
+ พระเจ้าทรงให้อภัยซาตานหรือไม่

ไดโนเสาร์

ปัจจุบันนี้ไดโนเสาร์เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในโทรทัศน์ และในภาพยนตร์ มีของเล่นมากมายที่ทำเป็นไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า สัตว์ที่แปลกชนิดนี้มีชีวิ ตและกลายเป็นสัตว์ที่สูญพันธ์ไปนานแล้ว ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่จะแปลกใจว่าในพระคัมภีร์ได้มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์หลายท่านเชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหลายปีก่อนน้ำท่วมโลกที่เราได้อ่านในหนังสือปฐ มกาล ดังนั้น จึงไม่มีไดโนเสาร์อยู่ในเรือของโนอาห์ อีกเหตุผลหนึ่งคือ เราไม่เคยอ่านพบไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนบอกเราทุกสิ่งทุกอย่าง เ พราะพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือคู่มือทางวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์บอกเราถึงเรื่องของมนุษย์และแผนการของพระเจ้าต่อชีวิตของเรา




ข้อความสำคัญ
พระเจ้าตรัสว่า
ดูสัตว์ใหญ่ เยเฮโมท โลดถลา เราสร้างมารวมเจ้าจงอย่าสงสัย
มันกินหญ้าเหมือนวัวย้ำตามหทัย อนามัยแข็งเหลือกล้ามเนื้อเกร็ง
หางมันชี้คล้ายที่ต้นสีดาร์ กล้ามเนื้อขาแกร่งกล้าทีท่าเก่ง
กระดูกคล้ายทองสัมฤทธิ์พิศเพ่งเล็งขาแข็งเกร็งเหมือนเหล็กท่อนไม่อ่อนแอ
สัตว์ประหลาดที่ทึ่งตะลึงดู มีพระผู้สร้างเองไซร้ปราบได้แน่
(โยบ 40:15-19)

พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ปฐมกาล 7:1-24; ยอห์น 1:3

คำถามที่เกี่ยวข้อง
+ ทำไมในปัจจุบันจึงไม่มีไดโนเสาร์
+ ทำไมจึงไม่มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์
+ สมัยของอาดัมและเอวามีไดโนเสาร์หรือ

สำหรับพ่อแม่/คุณครู
พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงไดโนเสาร์ แต่มีกล่าวไว้ว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง (ยอห์น 1:3) มีบางคำ เช่นคำ ว่า “เยเฮโมท” กล่าวถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เท่าไดโนเสาร์

การสวดสายประคำ

การสวดสายประคำ


โดย...บาทหลวงวีระ อาภรณ์รัตน์


ในหนังสือ Enchiridon of Indulgences ซึ่งกล่าวถึงกฎเกณฑ์การรับพระการุณย์ (ข้อ 48) มีกล่าวถึงการสวดสายประคำว่า

หากผู้ใดสวดสายประคำในวัด สวดพร้อมกันในครอบครัว ในหมู่คณะ นักพรต ห รือสมาคมส่งเสริมศรัทธา จะได้รับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ ส่วนการสวดในสภาพแวดล้อมอื่น จะได้รับพระคุณการุณย์ไม่ครบบริบูรณ์

ปัจจุบัน การสวดสายประคำเป็นการภาวนาชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยการภาวนาบทวันทามารีอา 15 ทศ โดยสวดบทข้าแต่พระบิดา ก่อนแต่ละทศและรำพึงอย่างศรัทธาในแต่ละทศถึงธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูคริสตเจ้า


สายประคำเป็นบทภาวนาที่พ่อชอบมากที่สุด

เป็นบทภาวนาน่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ในความเรียบง่ายและลึกซึ้ง บทสวดนี้เราซ้ำคำพูดที่พระนางมารีย์ได้ยินจากอัครเทวดา และจากญาติ คือนางเอลีซาเบธ พระศาสนจักรร่วมอยู่ในบทสวดนี้ พื้นฐานของคำว่า วันทามารีอา ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า

เวลาเดียวกัน ดวงใจของเราสามารถร่วมกันในธรรมล้ำลึกของสายประคำ เพราะเป็นชีวิตของเราแต่ละคน แต่ละครอบครัว ชาติ พระศาสนจักร และมนุษยชาติ เป็นเหตุการณ์ส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเรามากที่สุด และที่เราสนใจมากที่สุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ สวดสายประคำจึงสะท้อนถึงวิถีชีวิตมนุษย์ เป็นบทภาวนาง่ายๆ และมีความหมาย พ่อขอให้ลูกทุกคนสวดสายประคำ